ว่าด้วยทฤษฎีการพนัน (ตอนที่ 1):เข้าคาสิโน-เล่นม้า-แทงหวย-ซื้อลอตเตอรี่-ซื้อประกัน เล่นการพนันอย่างไหนโง่กว่ากัน

บรรยง พงษ์พานิช

ผมเป็นคนชอบเสี่ยง ชอบผจญภัยมาแต่ไหนแต่ไร (หรือถ้าให้พูดเท่ๆ ก็ต้องบอกว่าเป็นพวกกลัวเสียโอกาสมากกว่ากลัวล้มเหลว) ซึ่งเลยเป็นเรื่องธรรมดาที่จะชอบการพนันมาตั้งแต่เด็กๆ โดยเฉพาะในยามที่ยังโง่ ยังไม่รู้ความ แต่ไม่นานก็เรียนรู้อย่างรวดเร็วว่า ถ้าไม่อยากเสียเงิน ไม่อยากเสียเปรียบ อย่าเล่นการพนันที่มีเจ้ามือ ให้เล่นแต่กับเพื่อนฝูง และถ้าอยากได้เงิน ให้พยายามเป็นเจ้ามือเพราะการพนันทุกชนิดเจ้ามือย่อมได้เปรียบ แต่ถ้าเล่นที่ไม่มีเจ้ามือก็ให้พยายามเลือกเล่นการพนันที่ต้องใช้ฝีมือ ใช้ทักษะ หรือใช้สมอง แล้วเล่นกับคนที่ฝีมือด้อยกว่าเราเข้าไว้ เช่น สนุกเกอร์ ไพ่รัมมี่ ไพ่จับหมู ไพ่เผ ฯลฯ

แต่อย่างไรก็ดี ความที่เป็นคนชอบลอง ชอบผจญภัย ผมก็ยังคงชอบไปเล่นการพนันที่มีเจ้ามืออยู่ดี มีโอกาสเป็นต้องไปเข้าคาสิโนในที่ต่างๆ เคยตระเวนมาทั่ว ตั้งแต่ Atlantic City, Las Vegas, Reno, Lake Taho ในอเมริกา ฟากยุโรปก็เคยเยอะ ทั้ง London, Istanbul, Baden-Baden, Weisbaden ยัน Monticalo ในเอเชียก็เคยไปเยี่ยมทั้งเกาหลี ฟิลิปปินส์ มาเก๊า เกนติ้ง สิงคโปร์ จาการ์ตา ลงไปยันซีกโลกใต้ อัฟริกาใต้ เพิร์ท เมลเบิร์น เรียกได้ว่าเป็นขาคาสิโนคนหนึ่งทีเดียว แต่ที่ไปส่วนใหญ่เป็นการไปเที่ยว ไปดูคนเสียมากกว่า ไม่ได้เล่นเอาเป็นเอาตายจริงจังแต่อย่างใด ได้หรือเสียถึงระดับหนึ่งก็เลิก ไปดูโชว์ดูละครดื่มเฮฮา ถือเป็นการพักผ่อนบันเทิง

ความจริงแล้ว การพนันในคาสิโนนั้นเป็นการพนันที่เจ้ามือได้เปรียบไม่มากนัก แล้วแต่ชนิดเกมการพนันที่เล่น อย่างเกมมาตรฐานที่นิยมเล่นมากๆ เล่นกันหนักๆ เช่น บาคาร่า (Baccarat) เจ้ามือก็ได้เปรียบเพียงแค่ 1.2%

ส่วนเกมที่เจ้ามือได้เปรียบน้อยที่สุดก็ได้แก่ แบล็คแจ็ค (Blackjack) ที่เล่นคล้ายๆ ไพ่ยี่อิ๊ดบ้านเรา ซึ่งเจ้ามือจะได้เปรียบแค่ 0.35% (ถ้าเล่นตามกติกาเวกัส) แถมถ้าเป็นนักเล่นเก่งๆ ที่มีวิธีนับไพ่อาจเปลี่ยนจากเสียเปรียบมาได้เปรียบบ่อนได้ ทำให้บางบ่อนใช้ไพ่มากสำรับและมีการแบนไม่ให้นักเล่นอาชีพที่คุ้นหน้าคุ้นตาลงเล่น

เกมที่เจ้ามือได้เปรียบรองลงมาก็คือแครปส์ (Craps) ซึ่งเป็นการโยนลูกเต๋าสองลูกลงบนโต๊ะกำมะหยี่ยาวๆ ที่มีช่อง odd ต่างๆ ให้แทงและจ่ายตามราคาของแต่ละช่อง เกมนี้เจ้ามือจะได้เปรียบมากน้อยก็จะขึ้นอยู่กับการเลือกแทงของเรา ซึ่งมีหลายช่องทีเดียวที่โอกาส 50:50 คือเจ้ามือไม่ได้เปรียบเลย แต่ถ้าอยากได้รางวัลเยอะๆ หลายๆ เท่าเจ้ามืออาจได้เปรียบสูงถึง 15% (เช่น ถ้าแทงว่าจะออก 7 ซึ่งถ้าถูกจะได้สี่เท่าแต่โอกาสออกแค่หนึ่งในห้า)

ส่วนรูเล็ต (Roulette) ซึ่งเป็นเกมยอดนิยมฝั่งยุโรปนั้น ก็ขึ้นกับว่าบ่อนไหนจะเป็นแป้นหมุนที่มีเลข 0 กี่ตัว ถ้ามี 0 ช่องเดียวเจ้ามือก็ได้เปรียบแค่ 2.8% แต่ถ้ามีช่อง 00 เพิ่มขึ้นมาอีกช่อง เจ้ามือก็จะได้เปรียบ 5.6% ไม่ว่าเราจะแทงอะไร

สรุปว่า การพนันในคาสิโนนั้น เป็นการพนันที่เจ้ามือได้เปรียบ (House Edge) ไม่มากนัก ทำให้หลายคนเชื่อว่าบ่อนจะต้องโกงด้วยถึงได้ร่ำรวยมีคนอยากเปิดบ่อนกันเยอะแยะ แต่ผมเชื่อว่าบ่อนมาตรฐานนั้นไม่จำเป็นต้องโกงเลย ถ้ามีคนเล่นมากพอและเงินหมุนเวียนจำนวนมาก แค่ 1-5% ที่ได้เปรียบก็เหลือที่จะกำไรแล้ว ผมลองคำนวณดูคร่าวๆ ว่า โต๊ะแบล็คแจ็คโต๊ะหนึ่งที่มีคนเล่นเฉลี่ยห้าคน แทงคนละ 100 เหรียญ ชั่วโมงหนึ่งห้าสิบตา ถ้าบ่อนได้แค่ 0.35% ก็จะได้ชั่วโมงละ 90 เหรียญ สมมติมีสองร้อยโต๊ะ วันนึงแต่ละโต๊ะเปิดเฉลี่ย 8 ชั่วโมง ก็จะได้กำไรแค่เกมแบล็คแจ็คอย่างเดียวก็ 140,000 เหรียญ รวมหลายๆ เกมก็ได้กำไรวันละอาจจะถึงล้านเหรียญ ไม่รวมอาหารเครื่องดื่มห้องพัก นับเป็นธุรกิจที่ดีมากทีเดียว แถมคนเล่นก็ไม่ได้ถูกเอาเปรียบมากมายนัก (ดร.อำนวย วีรวรรณ ท่านเคยบอกผมว่าถึงจะแค่ 0.35% ก็เท่ากับโดนดอกเบี้ยถึง 0.35% ต่อนาทีทีเดียว ถ้าคิดทบต้นเท่ากับชั่วโมงละ 23.3% สี่ชั่วโมงก็เท่ากับ 131% ซึ่งก็เท่ากับว่าถ้าเล่นตาละร้อยเหรียญสี่ชั่วโมงก็จะเสียเฉลี่ยคนละ 131 เหรียญ)

ถ้าจะว่าไป อยากเล่นการพนันเพื่อความบันเทิง การไปคาสิโนน่าจะเสียเปรียบน้อยที่สุด แถมยังมีรายการบันเทิงดีๆ มากมายให้แวะเวียนไปชมยามพักรบ ถ้ามีสติและวินัยดีๆ อย่างไรก็คงไม่เล่นเสียจนหมดเนื้อหมดตัว (แต่ก็ได้ยินว่ามีคนหมดตัวกับคาสิโนไม่น้อยเหมือนกันนะครับ)

ถัดจากคาสิโนก็เป็นเรื่องของการแทงหมา แทงม้า หรือบางคนก็เรียกว่า เล่นหมา เล่นม้า ซึ่งเป็นการพนันที่ไม่ได้เอามีดไปไล่แทงหมาม้า แต่เป็นการพนันการวิ่งแข่งว่าหมาหรือม้าตัวใดเบอร์ใดจะเป็นตัวที่วิ่งชนะ การพนันหมาแข่งม้าแข่งนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการพนันแบบที่เรียกว่า Parimutuel Betting หรือบางทีก็เรียกว่า “โต๊ด” (Tote) นั่นก็คือเป็นการเอาเงินพนันทั้งหมดมาลงขัน แล้วเอาไปแบ่งกันในหมู่ผู้ที่แทงถูกหลังจากหักภาษีและค่าใช้จ่ายแล้ว ซึ่งในประเทศไทย (มีแต่ม้าแข่ง) สนามจะหักออก 22.5% เป็นภาษี 12.5% สนามม้าได้ 10% ที่เหลือจึงนำไปแบ่งกันในหมู่ผู้ที่พนันถูก

เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น สมมติว่าม้าแข่งเที่ยวหนึ่ง มีผู้แทงม้าชนะ (วิน) 200,000 ตั๋ว รวม 2,000,000 บาท และแทงม้าเพลส (เข้าที่ 1-2-3) อีก 300,000 ตั๋ว สนามจะหักรายได้และภาษีไว้ 1,125,000 บาท เหลือ 3,875,000 บาทไปจ่ายรางวัล โดยจ่ายให้ม้าวิน 1,550,000 บาท ซึ่งสมมติว่าถ้ามีคนแทงม้าตัวที่ชนะ 20,000 ตั๋ว ก็จะจ่ายตั๋วละ 78 บาท ส่วนที่เหลือจ่ายให้ม้าเพลสก็นำไปหารสาม แล้วแบ่งจ่ายให้ผู้แทงม้าแต่ละตัวตามส่วนที่มีผู้แทง ซึ่งก็จะได้ไม่เท่ากัน เช่น 24, 16, 13 บาทเป็นต้น

การพนันม้าแข่ง หรือเรียกอีกอย่างว่ากีฬาพระราชานั้น เป็นการพนันที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก ไหนจะต้องสร้างสนามกินพื้นที่หลายร้อยไร่ ต้องส่งเสริมให้มีการเลี้ยงม้าฝึกม้าที่มีราคาแพงและค่าใช้จ่ายสูง (โดยใช้เงินรางวัลล่อใจ รางวัลแต่ละเที่ยว 300,000-500,000 บาททีเดียว) ต้องใช้คนดำเนินการมาก ซึ่งสรุปได้ว่า นอกจากรัฐบาลที่เก็บภาษีได้แล้ว ทุกฝ่ายขาดทุนหมด คนพนันนั้นโดยรวมต้องขาดทุนอยู่แล้ว เพราะพอแทงไปร้อยบาทเงินก็ถูกหักเหลือแค่เจ็ดสิบเจ็ดบาทห้าสิบแล้ว สนามม้าทั้งสองแห่ง คือ สนามราชตฤณมัยที่นางเลิ้งและสนามราชกรีฑาฯ ที่ราชดำริ ต่างก็ขาดทุนปีละกว่ายี่สิบล้านทั้งสองแห่ง เจ้าของคอกม้าก็บ่นว่ารางวัลน้อยไม่พอค่าม้าค่าเลี้ยงดูค่าฝึก ขาดทุนกันทั่วหน้า

ที่พอจะมีกำไรอีกพวก ก็คือพวกโต๊ดเถื่อน ที่คอยรับแทงตามอัฒจรรย์ ซึ่งพวกนี้ไม่ต้องจ่ายภาษี ไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย เลยลดราคาค่าแทงจากสิบบาทลงเหลือแค่เก้าบาท ก็ยังมีกำไรเฉลี่ย 12.5% พอแบ่งจ่ายค่าคุ้มครองให้ตำรวจทหารเจ้าถิ่นได้

ในสมัยปัจจุบัน การพนันแข่งม้าในเมืองไทยเสื่อมความนิยมลงเยอะมาก มีข่าวเล่าลือกันเรื่องความสกปรกในวงการมากมาย มีการสมคบกันระหว่างเจ้าของม้ากำหนดผลล่วงหน้า มีการดึงม้าไม่ให้วิ่งเต็มที่โดยวิธีการต่างๆ จนคนเล่นน้อยลงเรื่อยๆ คนที่มีความรู้และมีสติมักไม่เล่นม้า คนรุ่นใหม่ก็หนีไปแทงบอลเพราะโอกาสสูงกว่า มีการยุบอัฒจรรย์ลงครึ่งหนึ่ง เที่ยวหนึ่งๆ มีคนแทงม้ารวมกันแค่ประมาณ 4 ล้านบาท วันละแค่ 40 ล้าน ซึ่งถ้าจะให้สนามคุ้มทุนจะต้องมีการแทงวันละประมาณ 55ล้านบาท

แล้วถามว่า ในเมื่อทุกฝ่ายขาดทุน แถมรัฐบาลที่ได้ภาษีก็ไม่อยากให้มีการพนันนี้ แล้วยังจะทู่ซี้จัดการแข่งขันกันอยู่ทำไม นอกจากพวกแฟนคลับและคนในแวดวงที่ยังรักการแข่งม้าที่ยังเหลืออยู่กลุ่มหนึ่งแล้ว

ที่มาภาพ: เฟซบุ๊ก Banyong Pongpanich 26 มีนาคม 2560

เหตุผลสำคัญที่สโมสรทั้งสองแห่งยังจำเป็นที่จะต้องจัดแข่งอยู่ ก็เพราะการแข่งม้าเป็นวัตถุประสงค์สำคัญที่ทำให้เกิดสโมสรทั้งสองขึ้น และก็เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้ได้เช่าที่ดินแปลงใหญ่กลางกรุงไว้เป็นสโมสรสังสรรค์ในหมู่สมาชิก อย่างราชกรีฑาสโมสรที่ตั้งอยู่บนที่ดิน 225 ไร่ บริเวณที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประเทศไทย (คิดมูลค่าตลาดประมาณหนึ่งแสนล้านบาท) เมื่อคราวที่สัญญาเช่าที่ดินร้อยปีหมดลงเมื่อปี 2545 ก็ใช้เหตุผลที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเคยมีพระราชหัตถเลขาไว้คราวพระราชทานชื่อสโมสรว่า การแข่งม้ามีผลดี จะได้บำรุงพันธ์ม้าไว้ใช้ในราชการสงคราม นี่แหละเป็นหนึ่งในข้ออ้างจนได้ต่ออายุสัญญาเช่าจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในราคาถูกมากๆ ไว้ใช้ประโยชน์เฉพาะเหล่าสมาชิกประมาณ 15,000 คน ทั้งๆ ที่ทรัพย์สาธารณะนี้ควรใช้เป็นประโยชน์แก่สาธารณชนได้มากกว่านี้ เช่น เป็นสวนสาธารณะ หรือโรงพยาบาล (ผมพูดอย่างนี้ทั้งๆ ที่เป็นสมาชิกคนหนึ่งนะครับ แต่ถ้าจะเอากลับไปทำประโยชน์สาธารณะก็ยินดีครับ) ซึ่งผมหวังว่า เมื่อสัญญาเช่าหมดลงอีกคราว (เข้าใจว่า ปี 2575) จะไม่มีการต่ออายุให้คนกลุ่มเดียวอีก

สรุปว่าการพนันม้าแข่งนั้น ผู้เล่นเสียเปรียบค่อนข้างมาก ถูกหักค่าต๋งถึง 22.5% ทำให้มีความนิยมน้อยลงเรื่อยๆ ในบางประเทศ เช่น ฮ่องกง ซึ่งมีสนามสองแห่งเหมือนเราแต่ยังมีความนิยมสูง คนสามารถพนันกันได้ทั่วเกาะ ไม่ต้องไปสนามแข่ง แทงตามร้านรับแทงก็ได้ ทำให้เขามีรายได้สูง ปีหนึ่งๆ มีคนแทงถึง HK $ 86 billion (สามแสนแปดหมื่นล้านบาท) เขาเลยหักค่าใช้จ่ายและภาษีเพียง 17.5% และมีการควบคุมให้การแข่งเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่มีมวยล้มต้มคนดูเหมือนอย่างบ้านเรา Hong Kong Jockey Club ปีหนึ่งๆ มีกำไรมหาศาล บริจาคการกุศลประมาณ 15,000 ล้านบาทต่อปี

ตั้งใจจะเขียนเปรียบเทียบการพนันห้าอย่างว่าอย่างไหนคนเล่นมีโอกาสถูกกินมากกว่ากัน แต่มัวแต่แวะเวียนไปนอกเรื่องเสียเยอะเลยว่าได้แค่สองชนิด คงต้องขอยกอีกสามชนิด คือ เล่นหวย-ซื้อลอตเตอรี่-ซื้อประกัน ไว้คราวหน้านะครับ (หลายคนคงสงสัยว่าประกันชีวิต ประกันภัย เป็นการพนันยังไง อดใจรอนะครับ)

หมายเหตุ: ตีพิมพ์ครั้งแรกเฟซบุ๊ก Banyong Pongpanich วันที่ 2 เมษายน 2560

ที่มา http://thaipublica.org/2017/04/banyong-pongpanich-81/?utm_source=dlvr.it&utm_medium=twitter