สาระจากวงประชุม
“เด็กและเยาวชนไทย รู้คิด รู้เท่าทัน สร้างสรรค์เทคโนโลยี”
วันพุธที่ 10 มกราคม 2561
ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารหอประชุมสำนักงาน กสทช.
มีอะไรในวงประชุม?
ศูนย์ประสานงานขับเคลื่อนการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ (Child Online Protection Action Thailand : COPAT) ร่วมกับ ศูนย์ข้อมูลนโยบายสาธารณะเพื่อลดปัญหาจากการพนัน มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรมกิจการเด็กและเยาวชน กรมสุขภาพจิต สมาคมวิทยุและสื่อเพื่อเด็กและเยาวชน สถาบันสื่อเด็กและเยาวชน มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ได้จัดงานเสวนา “เด็กและเยาวชนไทย รู้คิด รู้เท่าทัน สร้างสรรค์เทคโนโลยี” ขึ้นเมื่อวันพุธที่ 10 มกราคม 2561
ในช่วงแรกของงานเสวนานายพงศ์ธร จันทรัศมี ผู้จัดการศูนย์ข้อมูลนโยบายสาธารณะเพื่อลดปัญหาจากการพนัน มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ได้กล่าวต้อนรับและชี้แจงวัตถุประสงค์ของการจัดเสวนา กล่าวคือ
-
เพื่อแสดงเจตนารมณ์ และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และเครือข่ายเด็กและเยาวชน ให้เกิดความตระหนักถึง ภัยออนไลน์ที่เกิดกับเด็กและเยาวชน
-
เพื่อแสวงหาแนวทางในการปกป้องและคุ้มครองเด็กเพื่อให้เกิดการใช้สื่อออนไลน์อย่างสร้างสรรค์ กิจกรรมในวันนี้จะเป็นการแนะนำบทบาทของศูนย์ประสานงานขับเคลื่อนการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์
-
นำเสนอข้อมูลสถานการณ์เด็กและเยาวชนกับสื่อออนไลน์ และการเสวนาเด็กและเยาวชนไทย รู้คิด รู้เท่าทัน สร้างสรรค์ เทคโนโลยี โดยมีตัวแทนจากภาครัฐภาคเอกชน ตัวแทนจากกรมสุขภาพจิต
ลำดับต่อมา นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ประธานในที่ประชุม ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการเสวนา กล่าวคือการปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากการใช้สื่อออนไลน์ มีหลายภาคส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ใช่หน้าที่หน่วยงานด้านเด็ก ด้านสื่อ หรือด้านออนไลน์เท่านั้น แต่ต้องเป็นความร่วมมือกันของทุกฝ่ายในระยะยาว ให้สอดคล้องกับคำขวัญของนายกรัฐมนตรี “รู้คิด รู้เท่าทัน สร้างสรรค์เทคโนโลยี” รวมถึงเป็นการทบทวนความรู้จากประสบการณ์ในต่างประเทศและความคิดเห็นของทุกภาคส่วน ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เราสามารถเดินต่อไปในยุคไทยแลนด์4.0 หรือยุคดิจิตอลได้ต่อไป วันนี้จึงเป็นการเผยแพร่ความรู้ สถานการณ์ปัญหา แนะนำกลไกที่จะเป็นหัวใจในการประสานงานจัดการปัญหาในเรื่องนี้ เกิดการมีส่วนร่วมของภาคีเพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับเด็กซึ่งจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต และร่วมกันทำเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ คือ การเกิดโครงสร้างกลไกที่เป็นรูปธรรมของประเทศไทยต่อไป
นายวิทัศน์ เตชะบุญ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กล่าวเปิดงาน ความว่า วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่เครือข่ายคนทำงานด้านการปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากภัยออนไลน์จะได้แถลงผลการสำรวจและชี้สถานการณ์เด็กไทยจากภัยสื่อออนไลน์ เพื่อหนุนเสริมนายกรัฐมนตรีที่ได้ให้คำขวัญวันเด็กปีนี้ เพราะเด็กคือทรัพยากรที่มีคุณค่า ต้องปลูกฝังให้รู้คิด รู้เท่าทัน และต้องเฝ้าระวังสื่อเมื่อเข้าถึงโลกออนไลน์
ช่วงการเสวนาเป็นการนำเสนอการสำรวจสื่อออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน โดยมีวิทยากรในการนำเสนอ ท่านแรก คือ ดร.ศรีดา ตันทะอธิพานิช ผู้จัดการมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย และอนุกรรมการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ หัวหน้าคณะวิจัยของ “การสำรวจสถานการณ์เด็กกับภัยออนไลน์” ผลสำรวจ สถานการณ์เด็กกับภัยออนไลน์ 2560 โดย ศูนย์ประสานสาน COPAT พบว่า ร้อยละ 98.47 เชื่อว่าอินเทอร์เน็ตให้ประโยชน์และสิ่งดีๆมากมาย และร้อยละ 95.32 เชื่อว่ามีภัยอันตรายและความเสี่ยงหลายแบบบนอินเทอร์เน็ต ผลสำรวจที่น่าสนใจ พบว่า เพศชายมีความเสี่ยงต่อการติดเกมออนไลน์มากกว่าเพศหญิงถึง 2 เท่า แต่หากพิจารณาจากช่วงอายุพบว่าเมื่ออายุมากขึ้นการเล่นเกมออนไลน์จะลดลงโดยเด็กชั้นประถมศึกษาตอนปลายและเด็กมัธยมศึกษาตอนต้นที่เล่นเกมเกือบ 1 ใน 3 ซึ่งเสี่ยงต่อปัญหาการติดเกม ส่วนเด็กมัธยมศึกษาตอนปลายที่เล่นเกมเกือบ 1 ใน 4 เสี่ยงต่อการติดเกม มากเกือบร้อยละ 30 ของเด็กทุกช่วงวัย ยังคงเล่นเกมทุกวันหรือเกือบทุกวัน และเด็ก 68.07 มีความเสี่ยงในการเข้าถึงเนื้อหาเรื่องเพศทางออนไลน์ จึงเป็นโจทย์ของผู้ใหญ่ที่จะดูแล โดยกลุ่มเพศทางเลือกเข้าถึงเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องเพศมากที่สุดคือร้อยละ 73.09 รองลงมาคือเพศชายร้อยละ 66.14 และเพศหญิงร้อยละ 64.66 ที่น่ากังวลคือเด็กชั้นประถมศึกษาสามารถเข้าถึงเนื้อหาทางเพศได้ในระดับที่ไม่ต่างจากเด็กชั้นมัธยมศึกษา รวมไปถึงประเด็น เคยโดนกลั่นแกล้งรังแกออนไลน์ พบว่า เพศทางเลือกโดนกลั่นแกล้งมากที่สุดคือร้อยละ 59.44 หรือ เกือบ 6 ใน 10 คน รองลงมาคือเพศชายร้อยละ 48.96 หรือเกือบ 1ใน2 และเพศหญิงร้อยละ 41.47 เด็กจะบอกคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องที่โดนกลั่นแกล้งออนไลน์พบว่า เพศหญิงร้อยละ 48.13 จะบอกผู้อื่น รองลงมาคือเพศทางเลือกร้อยละ 43.92 และเพศชายร้อยละ 40.76 โดยพบว่าร้อยละ 52.93 จะบอกเพื่อนมากที่สุดรองลงมาคือพ่อหรือแม่ ร้อยละ 30.31
ลำดับต่อมา นายธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการอิสระ นำเสนอสถานการณ์ความเสี่ยง ที่ส่งผลกระทบเชิงลบโดยรวบรวมมาจากฐานข้อมูลปฐมภูมิจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องและสถาบันการศึกษา ข้อมูลการทำงานในระดับภาคสนาม หรือข้อมูลทางการแพทย์ มองว่า ปัจจัยความเสี่ยงของเด็กกับสื่อออนไลน์ เทคโนโลยีเปรียบเสมือนดาบสองคม โดยเทคโนโลยีที่ปลอดภัยสำหรับเด็กก็มีด้วยการออกแบบผู้ใช้งานที่คำนึงถึงเด็ก อย่างโซเชียลมีเดียทั้งหมดหรือเกมดิจิตอลออนไลน์ ในวงการอุตสาหกรรมซอฟแวร์ต่างประเทศ จะมีมาตรฐานทางอุตสาหกรรมที่กำกับว่า ดิจิตอลเกมออนไลน์หรือเว็บไซต์ออนไลน์ ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของเด็ก ที่ใกล้เคียงมากที่สุดคือ ISO 2001 ซึ่งคำนึงถึงความปลอดภัยของเด็ก ดังนั้นเวลาที่ประเทศไทยนำเข้าเทคโนโลยีมาในประเทศ เช่น กสทช. ต้องคำนึงว่า อุปกรณ์นั้นปลอดภัยได้มาตรฐานหรือไม่ ต้องพิจารณาว่า เทคโนโลยีนั้นถูกออกแบบมาอย่างปลอดภัยสำหรับเด็กหรือไม่ มีระบบป้องกันคุ้มครองเด็กหรือไม่ ระบบนั้นสามารถแฮกได้หรือไม่ สิ่งสำคัญคือ เด็กถูกเลี้ยงดูให้เท่าทันเทคโนโลยีหรือไม่ หรือปล่อยปะละเลย เด็กอยู่ตรงกลางระหว่างความเสี่ยงของเทคโนโลยีที่ไม่ปลอดภัยกับความเสี่ยงของสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยให้เด็กรู้เท่าทันสื่อได้ด้วยตัวเอง